การผสานระหว่าง Beaux-Arts และ Biophilic Principles การออกแบบเพื่อผู้อยู่อาศัยในโครงการ The Palazzo

ศิลปะ ความงาม และความหรูหรา ดูจะเป็นภาพจำของสถาปัตยกรรมเก่าแก่แบบตะวันตก แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์อันยาวนานย่อมมีหลายยุคและหลากสไตล์ แต่ถ้าหากคุณชอบพระราชวังแวซายน์ หรือ Grand Palais (กรองปาแล) ที่ฝรั่งเศส สไตล์ Beaux – Art น่าจะเป็นเส้นสายที่คุณชอบ 

Beaux – Arts (โบซาร์) คือสไตล์การออกแบบที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากศิลปะบาโรค สไตล์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความรุ่มรวย หรูหรา จุดกำเนิดของ Beaux-Arts เริ่มมาจาก École des Beaux-Arts โรงเรียนศิลปะในปารีส

สถาปัตยกรรมแบบโบซาร์ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะยุคก่อนหน้า ทั้งแบบเรเนอซองส์และบาโรค ที่มีความอ่อนช้อย งดงามในรายละเอียด เส้นโค้งที่ชวนให้นึกถึงธรรมชาติ และหยิบยกเอาความสมมาตรและสง่างามของเรขาคณิตมาผสานเข้าไปในสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิค

ด้วยองค์ประกอบที่ยิ่งใหญ่ สง่างาม ทำให้สไตล์การออกแบบนี้เป็นที่นิยมในอาคารที่ต้องการความโอ่อ่า เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็น พระราชวัง ศาล รัฐสภา สถานที่ราชการ โรงโอเปร่า เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น Palais Garnier (ปาแลการ์นิเย), Paris Museum of Fine Arts, และ สถานีรถไฟแกรนด์เซนทรัล ในนิวยอร์ก ล้วนได้รับอิทธิพลมาทั้งสิ้น

สถาปัตยกรรมสไตล์ Beaux-Arts เป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น The Metropolis ในสเปน (ซ้ายบน), Grand Central Terminal ในนิวยอร์ก (ขวาบน) และ Palais Garnier (ล่าง) โรงโอเปร่า

จะเห็นว่าโดยปกติสไตล์โบซาร์มักถูกใช้ในอาคารสาธารณะที่มีขนาดใหญ่ แต่ทั้งนี้ยังรวมไปถึงคฤหาสน์หรูของผู้ดีตั้งแต่ในอดีต จวบจนปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยม ทว่าการหยิบมาใช้กับที่อยู่อาศัยในปัจจุบันจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สะดวกสบายและสอดคล้องกับชีวิตของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น

โครงการ The Palazzo โดย AP หยิบเอา Beaux-Arts Aesthetics มาผสมกับ Biophilic Principles แนวคิดการออกแบบที่เน้นการให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณภาพชีวิต โดยผสานธรรมชาติเข้ามาในสถาปัตยกรรม โดยที่ไม่ทิ้งกลิ่นอายแบบโบซาร์ไป

วันนี้พามาดูแนวความคิดการออกแบบที่ว่าด้วยการแทรกธรรมชาติเข้ามาในชีวิต โดยไม่ทิ้งความหรูหราคลาสสิคแบบตะวันตก ในโครงการ The Palazzo

การตกแต่งและลวดลายหรูหรา สไตล์ Beaux-Arts 

ศิลปินมักได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติที่ทำให้จิตใจของเราสงบและสดชื่น เราจึงมักพบเห็นการเอาลวดลายตกแต่งมาจากธรรมชาติมาใส่ในสถาปัตยกรรมอยู่เสมอ

การตกแต่งแบบโบซาร์ มักให้ความสำคัญกับองค์ประกอบ เช่น ฝ้าเพดาน ลวดบัว หน้าจั่ว ภาพสลักลวดลายพืชพรรณ และหัวเสาแบบโครินเธียนที่ตกแต่งด้วยเถาไม้ Acanthus สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และความรุ่มรวยของอารยธรรม อีกจุดหนึ่งคือการหยิบเอารูปสลักแบบกรีก-โรมัน ที่มีกายภาพสมจริง ท่าทางผึ่งผายมาใช้ประดับตกแต่งบนยอด สร้างบรรยากาศที่โอ่อ่าสง่างาม ทุกองค์ประกอบถูกถ่ายทอดลงบนวัสดุที่ดูหรูหรา ไม่ว่าจะเป็น หินอ่อน อิฐ หินปูน รวมไปถึงทองคำ นำเสนอความปราณีตของงานฝีมือ

การเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ผืนน้ำ และเรือนกระจก

หนึ่งในความสุนทรีย์ของชนชั้นสูงยุโรปคือการเที่ยวชมธรรมชาติ แต่หากอยากชมต้นไม้เมืองร้อนต้องทำอย่างไร คำตอบอยู่ที่ ‘เรือนกระจก’ นั่นเอง

หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการใช้เหล็กและกระจกมาใช้ในการก่อสร้าง การสร้างเรือนกระจกเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นได้ก็เพราะนวัตกรรมการถลุงเหล็กที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มนุษย์สามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติได้มากกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นการที่มีหน้าต่างขนาดใหญ่รับแสงธรรมชาติได้มากขึ้น ทั้งยังทำให้สามารถมองทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างเต็มตา รวมไปถึงการสร้างเรือนกระจกที่ทำให้เราสามารถเอาพืชพรรณต่างๆ เข้ามาไว้ในอาคารที่อยู่อาศัยได้

ในส่วนกลางของ The Palazzo ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก Grand Palais อาคารจัดแสดงที่ถือเป็นเพชรยอดมงกุฎของการออกแบบสไตล์โบซาร์มาเป็นต้นแบบในการออกแบบเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการดึงเอาน้ำเข้ามาไว้ในสเปซภายใน นอกจากจะสร้างบรรยากาศที่ร่มรื่นแล้ว ยังช่วยทำให้สเปซมีความเย็นสบายขึ้นได้อีกด้วย

การผสมผสานลวดลายจากพืชพรรณธรรมชาติ

นอกจากลวดลายสลักที่เป็นเถาไม้ที่สามารถเห็นได้ชัดเจนแล้ว การถอดเส้นสายแบบธรรมชาติมาเพื่อทำลวดลายแพทเทิร์นก็เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ใช้ในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กดัด ลายกระเบื้อง รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ประดับตกแต่งเช่น แจกัน ล้วนได้รับการออกแบบมาอย่างใส่ใจ เพื่อให้สอดคล้องกับบรรยากาศ

ใครอยากลองสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ก็สามารถเข้าไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการ The Palazzo ได้ที่ https://apth.ly/tx8t